ประวิติปี่พาทย์มอญ
ปี่พาทย์มอญที่ปรากฏอยู่ในแผ่นดินไทยนี้ไม่มีหลักฐานในทางลายลักษณ์อักษรหรือหลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งที่เป็นเครื่องดนตรีหรือบทเพลงต่างๆ ของชนชาติมอญที่สืบทอดต่อกันมาและได้ปรากฏออกมาในรูปแบบของปี่พาทย์นั้นได้เข้ามาสู่ประเทศไทยในสมัยใดสำหรับความเป็นมาของปี่พาทย์มอญนั้นท่านอาจารย์มนตรี ตราโมท ราชบัณฑิตและศิลปินแห่งชาติ สาขาดนตรีไทยได้อธิบายไว้ว่า “ วงปี่พาทย์มอญ” ที่มีในเมืองไทยนี้ เข้าใจว่าเพิ่งมีขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เพราะในสมัยสุโขทัย มอญยังไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับไทยนัก และการที่มอญจะนำวงปี่พาทย์หรือเครื่องบันเทิงใด ๆ เข้ามาได้นั้น ก็จะต้องเป็นสมัยที่พากันเข้ามามาก ๆ เป็นครอบครัว พิจารณาตามพงศาวดารก็เห็นมีอยู่ไม่กี่คราว เช่น สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกวาดต้อนครอบครัวอันมีพระยาราม พระยาเกียรติ เป็นหัวหน้าควบคุมเข้ามา….ส่วนวงปี่พาทย์ของมอญก็คงจะมีมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา…. (มนตรี ตราโมท, 2525 : 14) จากคำอธิบายข้างต้นของท่านอาจารย์มนตรี ตราโมท สันนิษฐานว่าปี่พาทย์มอญน่าจะเริ่มขึ้นในประเทศไทยเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ซึ่งเข้ามาพร้อมกับการอพยพครั้งสำคัญ ๆ ของชนชาติมอญนั่นเองจากการอพยพของชาวมอญ มีคำบอกเล่าเกี่ยวกับการแพร่เข้ามายังประเทศไทยของปี่พาทย์มอญพอสรุปได้ว่า ได้มีครอบครัวมอญสามคนพี่น้อง ซึ่งมีความรู้ทางปี่พาทย์มอญ ได้เอาฆ้องมอญตัดออกเป็นสามท่อน ส่วนลูกฆ้องใส่กระบุงให้ครอบครัวช่วยกันหาบเดินทางเข้ามาทางเมืองตากและสุดท้ายก็ได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองปทุมธานี แล้วได้รวบรวมครอบครัวมอญที่มีเครื่องดนตรีมอญ และมีพื้นฐานความรู้ทางปี่พาทย์มอญขึ้นมา ในสมัยนั้นเครื่องปี่พาทย์มีเพียง 5 ชิ้นเท่านั้น คือ ฆ้องมอญ ปี่มอญ ตะโพนมอญ เปิงมางคอก ระนาดมอญ ระนาดมอญนั้น ไม่เหมือนกับระนาดของไทย (ซึ่งหาหลักฐานตัวอย่างไม่พบแล้วเพราะเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่มาก) ส่วนการถ่ายทอดเพลงมอญในสมัยนั้นเป็นการต่อเพลงมอญเท่าที่ต่างคนต่างจำกันได้ให้ซึ่งกันและกัน และได้ฝึกหัดถ่ายทอดสอนให้กับลูกหลานสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ครูผู้ใหญ่ในวงปี่พาทย์ เล่าต่อกันมาว่าครูสอนปี่พาทย์ที่ได้รับการยกย่องในสมัยนั้น คือ ครูเจิ้น ดนตรีเสนาะและครูสุ่ม ดนตรีเจริญ ซึ่งทั้งสองท่านเป็นพี่น้องกันครูสุ่มนั้นเป็นพี่ ส่วนครูเจิ้นนั้นเป็นน้อง เป็นครูสอนปี่พาทย์มอญที่มีชื่อเสียงและลูกศิษย์มาก เป็นเสมือนตัวแทนและสัญลักษณ์ของวงปี่พาทย์มอญเมืองปทุมธานีในสมัยนั้น โดยมีเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาว่า ครูเจิ้น นั้นได้แบกฆ้องมอญเข้ามา โดยแบ่งออกเป็น 3 ท่อน ส่วนลูกฆ้องนั้นได้นำใส่กระบุงช่วยกันแบกเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก บริเวณอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี บรรพบุรุษของครูเจิ้นได้ฝึกหัดถ่ายทอดเพลงมอญให้กับลูกหลานชาวมอญของตน โดยเฉพาะครูเจิ้นเป็นท่านหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดเพลงมอญต่าง ๆ ไว้คนหนึ่ง เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหารครูเจิ้นก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเรือ ซึ่งสมัยก่อนไม่มีการจับใบดำ – ใบแดง เหมือนสมัยนี้ คือ ถ้าชายใดอายุครบก็จะถูกเรียกไปเป็นทหารเลย ตอนที่ครูเจิ้นเป็นทหารเรือนั้น เจ้าฟ้ากรมนครสวรรค์วรพินิต ดำรงตำแหน่งจอมทัพเรือได้เห็นครูเจิ้นตีฆ้องมอญก็ทรงโปรดเป็นอย่างมาก และทรงเรียกครูเจิ้นตีฆ้องมอญให้ทอดพระเนตรอยู่บ่อยครั้ง หลังจากพ้นจากการเป็นทหารเรือครูเจิ้นได้กลับไปรับงานบรรเลงเพลงปี่พาทย์มอญ สำหรับปี่พาทย์มอญของครูเจิ้น ดนตรีเสนาะ ในสมัยนั้น นอกจากจะมีชื่อเสียงในจังหวัดปทุมธานีแล้ว คงจะมีชื่อเสียงโด่งดังมาถึงเขตกรุงเทพมหานครอีกด้วย เพราะปรากฏว่าในคราวที่จัดงานพระบรมศพพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทางราชการได้จ้างปี่พาทย์เครื่องใหญ่จากจังหวัดปทุมธานีไปประโคมในงานดังกล่าว ดังปรากฏหลักฐานจากจดหมายแห่งชาติ ซึ่งเป็นเอกสารรัชกาลที่ 6 กระทรวงนครบาล เล่ม 7 หมวดพระราชพิธีเรื่องของเงินค่าพิณพาทย์มอญ ในคราวงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (22 เมษายน 2454 – 4 กรกฎาคม 2462) ส่วนครูสุ่ม ดนตรีเจริญ ท่านได้แบกฆ้องมอญเฉพาะส่วน คือ “ส่วนหน้าพระ” และ “หางแมงป่อง” อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ตรงปากคลองบางโพธิ์เหนือ ตำบลบางปรอก อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ครูสุ่มนับเป็นครูดนตรีมอญที่สำคัญเป็นผู้บุกเบิกทางให้เพลงมอญของจังหวัดปทุมธานีแพร่หลายไปทั่วประเทศ โดยครูสุ่มได้เผยแพร่และทำกาถ่ายทอดเพลงมอญให้กับบุตรหลาน และลูกศิษย์ที่เข้าไปศึกษาปี่พาทย์มอญกับตน จนเป็นครูที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น ครูสุ่มได้ย้ายจากจังหวัดปทุมธานีเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2462 โดยมาสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณริมคลองวัดสระเกศ (บริเวณถนนหลานหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกรมโยธาธิการ) อยู่ไม่ไกลกันนักกับสำนักดนตรีของบ้านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ที่บ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ย่านวังบูรพาฯ ต่อมาครูทั้งสองได้ทำความรู้จักกันครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้ให้ความอุปการะหางานบรรเลงดนตรี และรับงานให้กับครูสุ่มในสมัยนั้น เวลามีงานก็ไปช่วยกันจนลูกศิษย์ในบ้านมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันลูกหลานครูสุ่มก็เท่ากับเป็นลูกศิษย์ครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) จึงมีความสนิทสนมกันมากขึ้นได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน โดยครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้ศึกษาเพลงมอญจากครูสุ่ม ส่วนครูสุ่มก็ศึกษาเพลงไทยจากครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ทั้งสองคนแวะไปมาหาสู่เรียนรู้ทางเพลงกันอย่างสม่ำเสมอครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ นับถือครูสุ่มว่าเป็น “ครูใหญ่” ในเชิงปี่พาทย์มอญและได้นำความรู้เรื่องเพลงมอญที่ได้ศึกษาจากครูสุ่มไปเผยแพร่ถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์รุ่นต่อ ๆ มา รวมทั้งประพันธ์เพลงไทยสำเนียงมอญขึ้นมาใหม่จนเป็นที่นิยมบรรเลง และขับร้องกันอย่างแพร่หลายสืบต่อมาถึงปัจจุบัน เช่น เพลงด้อมค่าย เพลงย่ำค่ำมอญทางบ้านบาตร เพลงประจำวัดทางใหม่ ส่วนเพลงที่ประพันธ์ร่วมกันคือ เพลงมอญยาดเล้ โดยครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ประพันธ์ทำนอง ครูสุ่ม ดนตรีเจริญ ประพันธ์คำร้องภาษามอญ สำหรับบรรเลงกับวงปี่พาทย์มอญแทนวงปี่พาทย์นางหงส์ในงานศพสืบต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขนานนามนามสกุลในปี พ.ศ. 2456 เนื่องจากมีพระราชดำริว่า บุคคลควรต้องมีชื่อตนเองและนามสกุลตนเองต่อท้ายชื่อ เพราะจะเป็นพิธีการที่จะทำให้สามารถบัญญัติวิธีจดทะเบียนคนเกิด คนตายและเรื่องเกี่ยวกับการสมรสได้ชัดเจนขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการขนานนามสกุลขึ้น พระองค์ทรงพระกรุณาพระราชทานนามสกุลให้ราชตระกูล เชื้อพระวงศ์ ข้าราชบริพาร ข้าราชการ ตลอดจนสามัญชนทั่วไปเป็นจำนวนมากกว่า 6,400 นามสกุล และในการพระราชทานนามสกุลครั้งนี้ นามสุ่มได้รับพระราชทานนามสกุลว่า “ดนตรีเจริญ” ดังนั้นผู้ที่เป็นต้นตระกูลก็คือ นายสุ่ม ดนตรีเจริญ จากการแพร่หลายเข้ามาของวัฒนธรรมปี่พาทย์มอญ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาเครื่องดนตรี การประสมวงและโดยเฉพาะบทเพลงมอญนั้น ทำให้จังหวัดปทุมธานีมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไป และเป็นแหล่งปี่พาทย์มอญที่สำคัญแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังได้มีวงปี่พาทย์มอญเกิดขึ้นแพร่หลาย ทั่วไปในอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดปทุมธานี โดยประมาณทั้งสิ้น 47 วงด้วยกันคือ
1. อำเภอเมือง มี 12 วงได้แก่ วงดนตรีเจริญ วงดนตรีเสนาะ วงประสานมิตรบรรเลง วง ส.พงษ์เจริญ วงพิณพาทย์ วงปทุมวิไล วงนายหวล วงนายเย็น วงนายหยัด วงนายขาว วงพวกดี และวงนายเสนาะ
2. อำเภอสามโคก มี 6 วง ได้แก่ วงทรัพย์สังวาลย์ วงรวมเพชรปทุม วงนายปาน ต้นดี วงไพฑูรย์ ทวนทอง
3. อำเภอลาดหลุมแก้ว มี 5 วง ได้แก่ วง ส.สุวัฒน์ วงประเสริฐศิลป์ วงนายโก๊ะ วงนายเล็ก และวงรัตน์ไทรแก้ว
4. อำเภอธัญบุรี มี 10 วง ได้แก่ วงอรรถกฤษณ์ วงประยงค์ศิลป์ วงโกมินทร์ วงถาวร วงพร้อมบรรเลง วงจรัล เอี่ยมประเสริฐ วงมนต์ เมืองเพชร วงแฉล้ม พ่วงสุวรรณ วงบรรลือ และ วงอำนวย
5. อำเภอลำลูกกา มี 4 วง ได้แก่ วง น.อุทิศศิลป์ วงนายนิ่ม วงนายสนิท และวงสุรเดช
6. อำเภอคลองหลวง มี 8 วง ได้แก่ วง ช. ดำรงค์ศักดิ์ ยืนยง วงฉัตรชัย วงศิษย์พ่อแก่ วงสุบิน สมบูรณ์ วงนายมงคล วงเสถียร ส. ชนะศิลป์ วงสมานศิษย์ศรีผ่อง และวงศิษย์วัดหัตถสาร
7. อำเภอหนองเสือ มี 2 วง ได้แก่ วงแสงทับทิม และวงโรงเรียนหนองเสือ
แหล่งที่มา : http://ich.culture.go.th/index.php/th/ich/performing-arts/236-performance/345-----m-s
วิวัฒนาการของปี่พาทย์มอญ
เดิมวงปี่พาทย์มอญเป็นเครื่องดนตรีประจำของชาวรามัญอย่างหนึ่ง ซึ่งบรรเลงในกรณีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลและงานอวมงคล แม้งานฉลองที่ใหญ่โตก็ใช้ปี่พาทย์มอญบรรเลงกัน ซึ่งคนไทยในสมัยโบราณก็ถือเช่นนั้น เช่นงานสมโภชพระแก้วมรกตในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่คนไทยในสมัยปัจจุบันยึดถือกันว่า ปี่พาทย์มอญใช้บรรเลงได้แต่งานศพเท่านั้น ที่เป็นดังนี้ก็คงเป็นด้วยสมัยต่อมา ได้เห็นปี่พาทย์มอญออกบรรเลงแต่งานพระบรมศพ เมื่อออกพระเมรุ ( ซึ่งปี่พาทย์มอญประโคมตลอดเวลา ) เพราะปี่พาทย์ไทย ซึ่งเป็นของหลวงบรรเลงเฉพาะเวลาทรงธรรม์เท่านั้น เมื่อเห็นดังนี้จึงค่อยเอาอย่างกันมา ต่อเมื่อมีงานศพท่านผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ก็จะหาปี่พาทย์มอญมาประโคมเป็นเกียรติ์ และยึดถือเป็นแบบแผนมาจนถึงทุกวันนี้ อีกประการหนึ่งคงจะเป็นด้วยเสียงเพลงของวงปี่พาทย์มอญมีความไพเราะเยือกเย็น ระคนเศร้า เหมาะกับงานศพเป็นอย่างยิ่ง และเครื่องดนตรีก็มีความสวยงาม แกะลวดลายลงรักปิดทอง กลมกลืนกับตู่พระธรรม์และเครื่องตั้งศพ ดังกล่าวปี่พาทย์มอญจึงเป็นวงดนตรีที่นิยมใช้ในงานศพ
วงปี่พาทย์มอญที่แท้และดั่งเดิมนั้น มีเครื่องบรรเลงเทียบเท่ากับวงเครื่องห้าของไทย คือ
1. ปี่มอญ
2. ระนาดเอก
3. ฆ้องมอญวงใหญ่
4. ตะโพนมอญ
5. เปิงมาง
6. โหม่ง ( ใบเดียว )
1. ปี่มอญ
2. ระนาดเอก
3. ระนาดเอกเหล็ก
4. ระนาดทุ้ม
5. ระนาดทุ้มเหล็ก
6. ฆ้องมอญวงใหญ่
7. ฆ้องมอญวงเล็ก
8. ตะโพนมอญ
9. เปิงมางคอก
10. ฉิ่ง
11. ฉาบเล็ก
12. ฉาบใหญ่
13. โหม่ง ๓ ใบ
ในปัจจุบันวงปี่พาทย์มอญเจริญเติบโตขึ้นมาก โดยการขยายวงให้ใหญ่ขึ้น เป็นวงปี่พาทย์มอญวงพิเศษ มีฆ้องมอญมากขึ้น บางวงถึง ๑๐ หรือ ๑๕ ร้าน บางงานต้องสร้างเต๊นเพื่อตั้งวงปี่พาทย์มอญโดยเฉพาะ ซึ่งภายหลังวงปี่พาทย์วงพิเศษดังกล่าว นอกจากนิยมใช้เป็นเครื่องประโคมในงานศพแล้ว ยังเป็นเครื่องประดับเกียรติยศของเจ้าภาพไปในตัวอีกด้วย บางงานถ้าผู้ตายเป็นนักดนตรีอวุโส หรือนักดนตรีที่มีชื่อเสียง จะมีวงปี่พาทย์มอญวงพิเศษบรรเลงหลายวง
นอกจากการเปลี่ยนแปลงโดยการเพิ่มเครื่องดนตรี ( ฆ้องมอญ ) มากขึ้นแล้ว วงปี่พาทย์มอญยังมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงลักษณะของเครื่องดนตรี เพื่อให้เหมาะสมเป็นวงปี่พาทย์มอญมากขึ้นอีก กล่าวคือ เปลี่ยนแปลงรูปลักษณะของระนาดเอก ระนาดทุ้ม และระนาดเหล็กใหม่ โดยการสร้างให้มีลักษณะเหมือนฆ้องวง เพียงแต่ย่อสัดส่วนให้ต่ำลง ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมาก
แหล่งที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/169525
วิวัฒนาการจากการสังเกตุของวงค์ปี่พาทย์มอญ
วงค์ปี่พายท์มอญสมัยก่อนนิยมเล่นในงานมงคลและงานอวมงคล ซึ่งสมัยปัจจุบันจะนิยมเล่นในงานอวมงคลมากกว่า วิวัฒนาการของเครื่องดนตรีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดนเฉพาะ "ฆ้องวงค์ใหญ่" ในอดีตฆ้องวงค์ใหญ่จะมี "หลุม" หลุมคือเสียงที่หายไปของฆ้องวงค์ใหญ่ส่วนมากเสียงที่หายไปจะเป็นตัว ที และ ฟา ทีและฟาคือระดับเสียงของตัวโน๊ตที่เปล่งเสียงออกมาตามลำดับเหมือนขั้นบรรได
"หลุม" จะอยู่ตรงด้านซ้ายของมือของฆ้องมอญวงค์ใหญ่โดยเสียงที่เปล่งเสียงออกมาจะมีลักษณะเสียงต่ำกว่าลูกเสียงที่อยู่ขวามือ
เสียงที่หายไปหรือ "หลุม" จะพบเห็นในสมัยปัจจุบันได้ยากเพราะว่าการบรรเลงในงานต่างๆจะไม่บรรเลงแต่เพลงมอญอย่างเดียวหรือสามารถใช้ได้หลายงานโดยจะไม่มีหลุมเพื่อให้การบรรเลงเป็นไปอย่างเรียบง่ายโดยไม่ต้องเปลี่ยนหรือย้ายเครื่องดนตีออกจากวงค์